อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิการเช่าของผู้อื่น

อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิการเช่าของผู้อื่น
ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิการเช่าของผู้อื่น คดีนี้โจทก์มีพยานบุคคลเข้าเบิกความลอย ๆ ว่า ได้มีการซื้อขายที่ดินต่อกันมาเป็นทอด ๆ แต่ไม่มีสัญญาซื้อขายมาแสดง ได้ความว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาจากนายเต็งลิ้ม แต่พยานจำเลยเบิกความฟังได้ว่า นายเต็งลิ้ม เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลย ดังนั้นถ้านายเต็งลิ้มซื้อมาอีกทอดหนึ่งจริงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเช่าที่ดินจากจำเลย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2534

จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ได้ให้ ต. เช่า ต.ให้อ.อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทดังนั้นแม้อ. จะขาย ที่ดินพิพาทให้โจทก์จริง อ. ก็ไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนให้ โจทก์ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยซื้อมาจากนายอารมย์ จูวัฒนาสำราญ ผู้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้สมคบกับนายอำเภอบรบือยื่นคำขอจับจองที่ดินพิพาท นายอำเภอบรบือได้ออกใบจองให้ ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ต่อมาอำเภอบรบือได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญายกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการฉ้อฉลเพื่อให้ที่ดินของนายอารมย์ตกเป็นของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างตลาดสดและถนนในที่ดินพิพาท โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้มีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยทั้งสองทำขึ้นทุกฉบับ ห้ามจำเลยที่ 1 ก่อสร้างตลาดสดและถนนในที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกามีว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่โจทก์นำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า มีจ่าสิบตำรวจโต๊ะเป็นผู้ครอบครอง จ่าสิบตำรวจโต๊ะขายที่พิพาทให้แก่นายแป๊ะกุ่ย แซ่โค้ว ในราคา 2,000 บาท นายแป๊ะกุ่ยขายให้นายอารมย์ 10,000 บาท และนายอารมย์ขายให้โจทก์ในราคา 400,000 บาท โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยให้นายอารมย์เช่าปีละ 5,000 บาท จำเลยนำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของจ่าสิบตำรวจโต๊ะจ่าสิบตำรวจโต๊ะยกให้แก่อำเภอบรบือ อำเภอบรบือให้นายเต็งลิ้มเช่าปีละ 500 บาท ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งสุขาภิบาลอำเภอบรบือจำเลยที่ 1 ขึ้น ทางอำเภอบรบือจึงยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยังคงให้นายเต็งลิ้มเช่าตลอดมา ในพ.ศ. 2511 คณะกรรมการของจำเลยที่ 1 เห็นว่าที่ดินพิพาทยังไม่มีหนังสือแสดงสิทธิ จึงประชุมและลงมติให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอจับจองที่ดินพิพาทและขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการตามระเบียบแล้ว ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ทำการโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทันที เห็นว่า นอกจากจำเลยจะมีนายไมตรี ไนยะกูล นายประถม ศิริมาลา นายจำนูญ กาวิละ ซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งนายอำเภอบรบือ และเป็นประธานกรรมการของจำเลยที่ 1 เข้าเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้แล้วยังมีเอกสารซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทคือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ หลักฐานการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 2 หลักฐานที่จำเลยที่ 2 ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.7 นอกจากนี้จำเลยยังมีเอกสารซึ่งแสดงว่านายเต็งลิ้มเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ล.3 ล.8 และ ล.9 ส่วนโจทก์มีแต่พยานบุคคลเข้าเบิกความลอย ๆ ว่า ได้มีการซื้อขายที่ดินพิพาทต่อกันมาเป็นทอด ๆ แต่ไม่มีสัญญาซื้อขายมาแสดงนอกจากนั้นนายอารมย์เบิกความว่า นายอารมย์ร่วมกับนายเต็งลิ้มซื้อที่ดินพิพาทจากนายแป๊ะกุ่ย ซึ่งถ้าคนทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจากนายแป๊ะกุ่ยจริง นายเต็งลิ้มก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเช่าที่ดินพิพาทจากผู้ใด ส่วนที่นายอารมย์ยังไม่ได้ขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น นายอารมย์อ้างว่านายเต็งลิ้มเป็นคนต่างด้าวไม่อาจมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ จึงตกลงว่ารอให้ลูกชายของนายเต็งลิ้มโตเสียก่อนจึงจะไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพื่อจะได้ใส่ชื่อลูกชายของนายเต็งลิ้มลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เห็นว่า เป็นข้ออ้างที่ปราศจากเหตุผล เพราะหากนายอารมย์ซื้อที่ดินพิพาทจริงนายอารมย์ก็สามารถที่จะขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในชื่อของตนเองก่อนได้ และเมื่อลูกชายนายเต็งลิ้มโต จะเพิ่มชื่อลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ย่อมทำได้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ คดีฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และให้นายเต็งลิ้มเช่า นายอารมย์อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าของนายเต็งลิ้ม ดังนั้นแม้นายอารมย์ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์จริง นายอารมย์ก็ไม่มีสิทธิครอบครองที่จะโอนให้โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( สุวิทย์ ธีรพงษ์ - ไมตรี กลั่นนุรักษ์ - อุไร คังคะเกตุ )

ป.พ.พ. มาตรา 1378, 1402
มาตรา 1378 การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้น ย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สิน ที่ครอบครอง
มาตรา 1402 บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมี สิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า

ป.วิ.พ. มาตรา 55
มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของ บุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

ติดตั้ง แอพพลิเคชั่น บนมือถือ

🌈👉ติดตั้ง แอปพลิเคชัน👈🌈

💖⚖️“ (ทนายความประชาชน) ”⚖️💖

https://play.google.com/store/apps/

X
ติดตั้ง แอพพลิเคชั่น บนมือถือ