ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด | ฟ้องขับไล่
ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8239/2551
โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยจะยกเหตุว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ส. สามีจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่ถูกยึดที่ดินและบ้านพิพาทขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเพื่อร้องขอกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดมาเป็นข้อต่อสู้เพื่ออยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวหาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาท โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท โดยเรียกค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท ส่วนจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินพร้อมบ้านพิพาทเป็นสินสมรสที่จำเลยมีส่วนกึ่งหนึ่ง ซึ่งจำเลยได้ร้องขอกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาทไว้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ เช่นนี้เท่ากับจำเลยมิได้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นส่วนที่เกินมาให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 64449 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และบ้านเลขที่ 24/32 ถนนนวมินทร์ (สุขาภิบาล 3) หมู่ที่ 10 ซอยคลองจั่นนิเวศน์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายและอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ มิได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านพิพาทและให้ชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านดังกล่าวจนเสร็จสิ้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายจตุรงค์ โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2515 ที่ดินและบ้านพิพาทมีชื่อนายจตุรงค์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยจดทะเบียนซื้อขายมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 24049/2541 ระหว่างโจทก์คดีนี้กับนายจตุรงค์จำเลยในราคา 1,800,000 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2543 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 ระหว่างการยึดที่ดินพร้อมบ้านพิพาทจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 ขอกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดกึ่งหนึ่ง โดยกล่าวอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรส โจทก์บอกกล่าวจำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 10 สิงหาคม 2543 โดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ แต่บุคคลที่อยู่ในบ้านพิพาทไม่ยอมรับ คดีที่จำเลยร้องขอกันส่วนเงินนั้นคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยได้รับเงินซึ่งขอกันส่วนจำนวน 900,000 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยและบริวารมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต แม้ว่าจำเลยจะกล่าวอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสของจำเลยกึ่งหนึ่ง คดีอยู่ระหว่างจำเลยร้องขอกันส่วนเงินกึ่งหนึ่งจากการขายทอดตลาด กรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จำเลยจะยกเหตุที่ว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและนายจตุรงค์สามีของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 24049/2541 และถูกยึดขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยจำเลยได้ร้องขอกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาทเป็นข้อต่อสู้โจทก์เพื่ออยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทหาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาท และเรียกค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทเป็นสินสมรสที่จำเลยมีส่วนกึ่งหนึ่ง จำเลยได้ร้องขอกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาทไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ เช่นนี้ เท่ากับจำเลยไม่ได้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ โจทก์ต้องชำระค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท การที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ส่วนที่เกิน
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ คงเหลือไว้เพียง 300 บาท (ค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ 200 บาท และค่าขึ้นศาลในอนาคต 100 บาท) ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( กีรติ กาญจนรินทร์ - ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล - ศิริชัย วัฒนโยธิน )
ศาลแพ่ง - นายภูมิชัย พันธพฤทธ์พยัต
ศาลอุทธรณ์ - นายวรพจน์ วิไลชนม์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1330 สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอด ตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย หรือลูกหนี้โดยคำพิพากษา หรือผู้ล้มละลาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของ บุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้
มาตรา 287 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา 288 และ มาตรา 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับ เหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย